วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

สลด! คนไทยใช้มือถือ-เน็ตกระหน่ำ

สลด! คนไทยใช้มือถือ-เน็ตกระหน่ำ


แต่ไม่รู้สิทธิโทรคมนาคม

ในวันที่ปริมาณการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่แตะ 65 ล้านเลขหมาย เท่าจำนวนประชากรในประเทศ และมีปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตขยับเป็น 15 ล้านเลขหมายในปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้ปัญหาด้านโทรคมนาคมเพิ่มขึ้น อาทิ บริการโทรศัพท์มือถือโทรฯติดยาก ความเร็วอินเทอร์เน็ตไม่เป็นไปตามโฆษณา เว็บโป๊ เว็บพนัน ล้นทะลักโลกออนไลน์ แต่กลับมีเสียงร้องเรียนเรื่องปัญหาโทรคมนาคมเล็ดลอดออกมาเพียง 2% จากจำนวนสาวกโทรคมนาคมที่ประสบปัญหากว่า 60% ข้อมูลเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 53 วันคุ้มครองผู้บริโภคสากล ซึ่งสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ร่วมกับ สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ สำรวจคนไทยทั่วประเทศจำนวน 8,000 คน จาก 4 ภูมิภาค รวม 39 จังหวัด นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการ สบท. กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีใครบอกผู้บริโภคเรื่องสิทธิโทรคมนาคม ดังนั้นผู้บริโภคควรที่จะรู้สิทธิของตนเอง เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือ ถ้าบริการไม่เป็นธรรมก็สามารถร้องเรียนได้ เพราะประเทศไทยมีพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมากว่า 30 ปี แต่คนไทย 1 ใน 4 ไม่รู้เรื่องสิทธิโทรคมนาคม หรือคิดเป็น 15 ล้านคน จากจำนวนประชากร 65 ล้านคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ศึกษาในระดับพื้นฐาน และอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนไทยร้องเรียนเรื่องสิทธิโทรคมนาคมน้อย เนื่องจากมีหลายหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดังนั้น ต้องสร้างการรับรู้เกี่ยวกับปัญหาและหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้ประชาชนรู้ว่าปัญหาไหนควรร้องเรียนที่หน่วยงานใด เช่น เรื่องเว็บโป๊ ให้ร้องเรียนที่ตำรวจซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 เรื่องอุปกรณ์โทรคมนาคม เช่นโทรศัพท์มือถือซื้อมา 7 วัน แล้วเสียร้านค้าไม่รับคืน ร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ถ้าเรื่องบริการโทรคมนาคม เช่น ความเร็วอินเทอร์เน็ตไม่เป็นไปตามโฆษณา และค่าบริการโทรศัพท์มือถือไม่เป็นธรรม ร้องเรียนที่ สบท. ปีที่แล้ว สบท.เปิดสายด่วนร้องเรียนเรื่องโทรคมนาคมเลขหมาย 1200 ให้ผู้บริโภคโทรฯร้องเรียนโดยไม่เสียค่าบริการ มีผู้ร้องเรียนรวม 1,200 เรื่อง เพิ่มจากปีพ.ศ. 2551 ซึ่งมี 300 เรื่อง แต่จากการสำรวจ พบว่า ผู้บริโภคสะดวกที่จะร้องเรียนโดยตรงกับบุคคล ดังนั้น สบท.จึงตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนในกรุงเทพฯ พร้อมกับเปิดบริการสายด่วนควบคู่กันไป นอกจากนี้ การสำรวจเรื่องการรับรู้สิทธิการร้องเรียนด้านโทรคมนาคมของประชาชน พบว่า 70% รับรู้ผ่านสื่อโทรทัศน์ และ 30% รับรู้ผ่านการบอกเล่าของเพื่อน ประเทศออสเตรเลีย ผู้บริโภคมีการรับรู้เรื่องสิทธิโทรคมนาคมสูงมาก ปีที่ผ่านมามีการร้องเรียนเรื่องโทรคมนาคมถึง 5 แสนคนจากจำนวนประชากรในประเทศ 20 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิด้านโทรคมนาคม โดยมีปริมาณร้องเรียนมากเป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้าการร้องเรียนเรื่องบัตรเครดิต การเงินการธนาคาร รถยนต์ อาหาร และยา ต่างจากประเทศไทย แม้เรื่องเอสเอ็มเอสขยะจะเป็นปัญหาที่พบมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่มีผู้ร้องเรีนน้อย ทำให้ไม่มีพลังเสียงจากผู้บริโภคที่จะกระตุ้นให้เกิดการออกมาตรการควบคุมการส่งเอสเอ็มเอสขยะ ขณะที่ต่างประเทศที่ผู้บริโภคร้องเรียนมาก ทำให้รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค เร่งสร้างการรู้สิทธิโทรคมนาคมให้คนไทย นพ.ประวิทย์ กล่าวว่า การสำรวจความรู้เรื่องสิทธิโทรคมนาคม สบท. จะทำทุก 3-5 ปี เนื่องจากการรับรู้เรื่องสิทธิโทรคมนาคมต้องใช้เวลา แต่เรื่องปัญหาด้านโทรคมนาคม สบท. จะสำรวจทุกปี ส่วนการส่งความรู้เรื่องสิทธิโทรคมนาคม สบท.จะร่วมกับเครือข่ายผู้บริโภค ใน 26 จังหวัด นำความรู้สู่ประชาชนในท้องถิ่นแบบปากต่อปาก เน้นเรื่องที่มีผลกระทบกับประชาชนโดยตรง เช่น เรื่องบัตรโทรศัพท์ มือถือแบบเติมเงิน (พรีเพด) ไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งตามประกาศของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ระบุให้บัตรโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงินไม่มีวันหมดอายุ จนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจาก กทช. ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ และผู้ให้บริการบางรายก็ยังจำหน่ายบัตรเติมเงินมูลค่า 100 บาท มีอายุใช้งาน 10 วัน จนเกิดปัญหาและข้อร้องเรียน เบื้องต้น สบท. หารือกับผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้แก่ เอไอเอส และดีแทค ได้ข้อสรุปจะกำหนดให้บัตรเติมเงินมีอายุการใช้งาน 90 วัน ส่วนทรูมูฟยังไม่มีการหารือ กลางปีเปิดโครง การบันทึกข้อมูลสัญญาณมือถือ เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่โทรฯติดยาก เป็นปัญหาอันดับหนึ่งด้านบริการและคุณภาพของการใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีผู้ร้องเรียนมาก ขณะนี้ สบท.หารือกับบริษัทพัฒนาระบบบันทึกคุณภาพและบริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่สัญชาติไทย เพื่อเก็บข้อมูลว่าพื้นที่ไหนมีความแรงของสัญญาณดี ไม่ดี และเสถียรหรือไม่เสถียร เมื่อได้ข้อมูลสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ในแต่ละพื้นที่ สบท.จะจัดส่งข้อมูลให้กับผู้ให้บริการเครือข่ายเพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการปรับปรุง
การเก็บข้อมูลด้านบริการและคุณภาพของการใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน มองว่าถ้านำอุปกรณ์ดังกล่าวไปติดตั้งกับรถขนส่งของไปรษณีย์ไทยก็จะทำให้ได้ข้อมูลทั่วประเทศ หรือขอความร่วมมือติดตั้งในรถแท็กซี่ก็จะได้ข้อมูลในกรุงเทพฯ ซึ่งต้องเข้าไปหารือก่อน ส่วนผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการซิมเบี้ยน สามารถใช้โทรศัพท์มือถือเก็บบันทึกสัญญาณของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในเครื่อง คาดกลางปีนี้จะเริ่มโครงการนี้ได้ นพ.ประวิทย์ กล่าว ทดสอบความเร็วเน็ตปีนี้เข้มข้นขึ้น
สำหรับโครงการสำรวจและทดสอบความ เร็วอินเทอร์เน็ต (สปีดเทสต์) ปีที่แล้ว สบท. ร่วมกับ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ใช้เวลา 3 เดือนในการทดสอบ ส่งผลให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตปรับตัวขยับความเร็วอินเทอร์เน็ตให้ได้ตามที่โฆษณา โดยโครงการนี้เป็นการเก็บข้อมูลและส่งต่อข้อมูลที่ได้ให้กับผู้ให้บริการ เป็นการดึงผู้บริโภคที่ใช้บริการร่วมเก็บข้อมูล และกระตุ้นให้ผู้บริโภคสนใจเรื่องสิทธิด้านโทรคมนาคม ปัจจุบัน กทช.ให้ใบอนุญาตประกอบการอินเทอร์เน็ตทั้งแบบที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง และแบบที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง แก่ผู้ให้ประกอบการแล้วกว่า 100 ราย ปีนี้ สบท. ร่วมกับ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย เดินหน้าโครงการต่อ โดยจะเพิ่มเซิร์ฟเวอร์อีก 30 จุด ภายใต้งบประมาณ 3 ล้านบาทเพื่อเก็บข้อมูลการสำรวจและทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต ผ่านเว็บไซต์ www.speedtest.or.th และนำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบเสนอ กทช. เพื่อให้ จัดทำมาตรฐานบริการอินเทอร์เน็ต ทั้งเรื่องของความเร็วและความเสถียร ปัจจุบัน ประเทศมาเลเซีย กำหนดมาตรฐานการให้บริการอินเทอร์เน็ตของผู้ให้บริการ ซึ่งระบุว่า ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ให้บริการต้องไม่ต่ำกว่า 90% ของความเร็วที่โฆษณา ยุค 3จี ผู้บริโภคยิ่งต้องรู้สิทธิโทรคมนาคม เทคโนโลยี 3 จีเป็นสิ่งที่หลายคนเฝ้ารอ ซึ่งการใช้งานที่รองรับบริการได้หลากหลายโดยเฉพาะการรับส่งข้อมูล (ดาต้า) เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องรู้สิทธิ ถ้าผู้บริโภคไม่รู้สิทธิด้านโทรคมนาคมจะเสียเปรียบอย่างมาก เช่น การเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตถ้าเปิดเว็บไซต์ค้างไว้ โดยไม่ดาวน์โหลดข้อมูล หรือคลิกเปิดหน้าเว็บเพจ ใหม่ ผู้บริโภคจะเสียค่าบริการเพียงดาวน์โหลดเว็บไซต์ครั้งแรกเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับระยะเวลาที่เปิดเว็บไซต์ค้างไว้หน้าจอ เพราะคิดค่าบริการตามปริมาณการดาวน์โหลด ขณะที่เบอร์โทรศัพท์ 3จี แบบเติมเงิน (พรีเพด) ต้องมีการจดทะเบียนระบุตัวตนเจ้าของให้ชัดเจน เพราะใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ และเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และปริมาณการใช้งานโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนที่เพิ่มมากขึ้นจาก 15% ของเครื่องโทรศัพท์โดยรวมที่ใช้อยู่ในไทยปีที่แล้ว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 20% ส่งผลให้ปัญหาเอสเอ็มเอสขยะเปลี่ยนแปลงไปสู่มัลติมีเดีย ซึ่งมีการใช้ระบบโทรฯขายตรงแบบอัตโนมัติ และข้อความขยะแบบภาพเคลื่อนไหว ซึ่งความคืบหน้าเรื่อง มาตรการควบคุมเอสเอ็มเอสขยะ ขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปเรื่องเพื่อนำเสนอที่ประชุม กทช. พิจารณา เพราะเรื่องการออกมาตรการควบคุมเอสเอ็มเอสขยะเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินงาน ให้ทันกับเทคโนโลยีที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ก้าวทันเทคโนโลยีแล้ว อย่าลืมก้าวทันสิทธิที่ผู้บริโภคโทรคมนาคมพึงมีด้วย.
น้ำเพชร จันทา namphetc@dailynews.co.th


ผู้จัดทำ นางสาวอนุสรา สีกา 49043494345
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ
ที่มา : http://news.sanook.com/917160-%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%94-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B3.html

เตือน! ผู้ใช้มือถือ สิทธิพื้นฐานที่ต้องรู้

เตือน! ผู้ใช้มือถือ สิทธิพื้นฐานที่ต้องรู้



สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่ใช้มือถือแบบเติมเงิน ดังนั้น ควรจดทะเบียนเพื่อให้ทราบถึงข้อมูลการใช้งานจริง ขณะเดียวกัน ข้อมูลสิทธิขั้นพื้นฐานการใช้โทรศัพท์ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย'นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา' ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กล่าวว่า ผู้ใช้โทรศัพท์ส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเรียกร้องบริษัทเจ้าของเครือข่ายกรณีไม่สามารถให้บริการตามโฆษณาได้, ความจำเป็นที่ต้องเติมเงินเมื่อครบกำหนด แม้จำนวนเงินยังเหลือก็ตาม ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดไว้ว่า หากจำนวนเงินยังคงเหลือก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มระยะเวลาการโทร นอกจากนี้ ยังรวมถึงสิทธิการใช้เลขหมายเดิมสำหรับการแก้ปัญหาเมื่อมีข้อร้องเรียน สบท.จะแจ้งไปยังบริษัทเจ้าของเครือข่ายและคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพื่อแก้ไข อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ใช้แก้ไข ขึ้นอยู่กับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น
นพ.ประวิทย์ กล่าวว่า ผู้ใช้มือถือของไทยร้อยละ 90 เป็นกลุ่มเติมเงิน ดังนั้น ผู้ใช้ควรจดทะเบียนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของและทราบถึงรายละเอียดการใช้งานที่เกิดขึ้นจริงอย่างไรก็ตาม หากประชาชนมีข้อร้องเรียน สามารถติดต่อได้ที่ 02-634-6000 หรือสายด่วน 1200
ผู้จัดทำ นางสาวอนุสรา สีกา 49043494345
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ
ที่มา :
http://news.sanook.com/960167-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89.html

เตือน! ผู้ใช้มือถือ สิทธิพื้นฐานที่ต้องรู้

เตือน! ผู้ใช้มือถือ สิทธิพื้นฐานที่ต้องรู้




สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่ใช้มือถือแบบเติมเงิน ดังนั้น ควรจดทะเบียนเพื่อให้ทราบถึงข้อมูลการใช้งานจริง ขณะเดียวกัน ข้อมูลสิทธิขั้นพื้นฐานการใช้โทรศัพท์ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย
'นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา' ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กล่าวว่า ผู้ใช้โทรศัพท์ส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเรียกร้องบริษัทเจ้าของเครือข่ายกรณีไม่สามารถให้บริการตามโฆษณาได้, ความจำเป็นที่ต้องเติมเงินเมื่อครบกำหนด แม้จำนวนเงินยังเหลือก็ตาม ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดไว้ว่า หากจำนวนเงินยังคงเหลือก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มระยะเวลาการโทร นอกจากนี้ ยังรวมถึงสิทธิการใช้เลขหมายเดิมสำหรับการแก้ปัญหาเมื่อมีข้อร้องเรียน สบท.จะแจ้งไปยังบริษัทเจ้าของเครือข่ายและคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เพื่อแก้ไข อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่ใช้แก้ไข ขึ้นอยู่กับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนพ.ประวิทย์ กล่าวว่า ผู้ใช้มือถือของไทยร้อยละ 90 เป็นกลุ่มเติมเงิน ดังนั้น ผู้ใช้ควรจดทะเบียนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของและทราบถึงรายละเอียดการใช้งานที่เกิดขึ้นจริงอย่างไรก็ตาม หากประชาชนมีข้อร้องเรียน สามารถติดต่อได้ที่ 02-634-6000 หรือสายด่วน 1200

ไทยติดอันดับ21เล่นเฟซบุ๊กใช้5.14ล้านคน

ไทยติดอันดับ21เล่นเฟซบุ๊กใช้5.14ล้านคน


ไทยติดอันดับ 21 จากจำนวนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก โดยมีผู้ใช้ 5.14 ล้านคน โดยตามหลัง ฟิลิปปินส์ที่เป็นอันดับ 7 มีผู้ใช้ 16 ล้านจากจำนวนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ค www.facebook.com ทั่วโลกที่มีอยู่จำนวน 517 ล้านคน พบว่า 5 อันดับแรก คือ สหรัฐฯ 133 ล้านคน, สหราชอาณาจักร 28 ล้านคน, อินโดนีเซีย 27 ล้านคน, ตุรกี 24 ล้านคน, และฝรั่งเศส 19 ล้านคนสำหรับประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊คติดอันดับที่ 21 มีผู้ใช้ 5.14 ล้านคน โดยตามหลัง ฟิลิปปินส์ที่เป็นอันดับ 7 มีผู้ใช้ 16 ล้านคน อินเดียอันดับ 10 มีผู้ใช้ 13 ล้านคน, มาเลเซียมีผู้ใช้ 8 ล้านคน ที่น่าสนใจ คือ ญี่ปุ่น อยู่อันดับ 56 มีผู้ใช้เฟซบุ๊ค 1.35 ล้านคน และ สำหรับจีน อยู่อันดับที่ 162 มีผู้ใช้เพียง 24,060 คนสำหรับเกมส์ออนไลน์ ของซินก้าที่เป็นที่ยอดนิยมอย่างฟาร์มวิลล์ มีผู้เล่น 62.57 ล้านคน ตามมาด้วยเท็กซัสโฮลเอ็มโป้กเกอร์ 36.78 ล้านคน คาเฟ่เวิร์ลด์ 28.98 ล้านคน มาเฟียวอร์ 27.27 ล้านคน และ เพ็ทวิลล์ 16.86 ล้านคน



ผู้จัดทำ นางสาวอนุสรา สีกา 49043494345

คอมพิวเตอร์ธุรกิจ

ที่มา :

http://news.sanook.com/960919-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A21%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%895.14%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%991.html

นักวิชาการหวั่นคนรายได้น้อยขาดโอกาสใช้3G

นักวิชาการหวั่นคนรายได้น้อยขาดโอกาสใช้3G



นักวิชาการ หวั่น 3G ไม่กระจายถึงต่างจังหวัด ห่วงผู้ประกอบการคิดราคาค่าบริการแพง ปิดโอกาสให้คนมีรายได้น้อยเข้าถึงข้อมูลดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผย ระหว่างการเสวนา "เครือข่ายพลเมืองเน็ต" ภายใต้หัวข้อ "สิทธิพลเมืองกับ 3G" ว่า ปัญหาของการใช้อินเทอร์เน็ต วันนี้ คือ การกระจุกตัวของผู้ใช้ ซึ่งคาดว่า ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นคนใน กทม. ดังนั้น หากจะให้ 3G เป็นเครื่องมือกระจายความรู้ ข้อมูล ไปสู่ประชาชนในชนบท กทช. ต้องตอบโจทย์การกระจายตัวของเทคโนโลยีให้ได้ นอกจากนี้ ค่าบริการอินเทอร์เน็ต ที่ยังแพงเกินไป ยังเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้คนยากจน เข้าถึง 3G โดยเฉพาะระบบพรีเพด (Prepaid จ่ายก่อนใช้) เดือนละ 170 บาท ขณะที่ผู้มีรายได้น้อย มีรายได้เฉลี่ย 1,200 บาทต่อเดือน ค่าบริการเกินร้อยละ 10 จึงถือว่าแพงเกินไป และเป็นความเหลื่อมล้ำทางโอกาส นายต่อพงษ์ เสลานนท์ ประธานคณะทำงาน ด้านกิจการที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ ในคณะอนุกรรมการ กทช. กล่าวว่า การใช้ระบบ 3G จะช่วยเพิ่มโอกาส ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น โดยค่าใช้จ่ายจะต้องไม่สูงเกินไป เพื่อเปิดทางให้ผู้มีรายได้น้อย ได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้ประโยชน์จาก 3G ต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี ทั้งในด้านบวกและด้านลบ

ผู้จัดทำ นางสาวอนุสรา สีกา 49043494345
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ

ที่มา : http://news.sanook.com/965831-%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%893g1.html

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ระบบสารสนเทศการผลิต (Manufacturing Information Systems)

ระบบสารสนเทศการผลิต (Manufacturing Information Systems)
ระบบสารสนเทศการผลิตช่วยสนับสนุนงานในด้านการผลิตและการดำเนินงาน รวมไปถึงงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการวางแผนและการควบคุมขั้นตอนของการผลิตสินค้าและบริการ ดังนั้นหน้าที่ในการผลิตและการดำเนินงานจึงเกี่ยวข้องกับการจัดการของระบบและกระบวนการผลิต ระบบสารสนเทศใช้เพื่อการจัดการด้านการดำเนินงานและการติดต่อดำเนินงานเพื่อสนับสนุนหน่วยงาน ซึ่งจะต้องมีการวางแผน และควบคุมสินค้าคงคลัง การจัดซื้อ และการไหลเวียนของสินค้าและบริการ
คอมพิวเตอร์ช่วยการผลิตแบบบูรณาการ (Computer-integrated Manufacturing : CIM)
ระบบสารสนเทศด้านการผลิตที่มีความหลากหลาย ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตแบบบูรณาการ เพื่อสนับสนุน ดังรูปที่ 10.12 ซึ่งเป็นแนวคิดในภาพรวมที่เน้นในเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ในการผลิต จะต้องมีเป้าหมายดังนี้
• ความง่าย ( Simplify) ในการรื้อปรับระบบ (Reengineering) ทำให้กระบวนการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ และโครงสร้างของโรงงานเป็นพื้นฐานที่สำคัญของระบบอัตโนมัติและบูรณาการ ให้มีใช้งานได้ง่ายขึ้น
• อัตโนมัติ (Automate) ทำให้เป็นอัตโนมัติด้วยการสนับสนุนด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และหุ่นยนต์ ช่วยในงานด้านกระบวนการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ และงานด้านธุรกิจ
บูรณาการ (Integrated) การใช้คอมพิวเตอร์ เครือข่ายโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ ช่วยในงานด้านการผลิตและกระบวนการสนับสนุนการผลิต


คอมพิวเตอร์ช่วยการผลิตแบบบูรณาการ (Computer-Integrated Manufacturing )

รูปที่ 10. 12 ระบบสารสนเทศการผลิตที่สนับสนุนการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการผลิตแบบบูรณาการ

เป้าหมายโดยรวมของ CIM และระบบสารสนเทศโรงงาน คือ การสร้างกระบวนการทำงานของโรงงานให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัว โดยการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดังนั้น ระบบ CIM จึงสนับสนุนแนวคิดเรื่องระบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่น การผลิตที่มีความคล่องตัว และการจัดการคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management)
ระบบสารสนเทศช่วยให้บริษัททำงานได้ง่าย เป็นอัตโนมัติ และผสมผสานงานที่ต้องการในการผลิตผลิตภัณฑ์ทุกชนิด เช่น คอมพิวเตอร์ถูกใช้เพื่อช่วยให้วิศวกรออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้นโดยใช้ทั้งคอมพิวเตอร์ช่วยในงานวิศวกรรม (Computer-aided Engineering : CAE) และคอมพิวเตอร์ช่วยงานออกแบบ (Computer-aided Design : CAD) พวกเขายังใช้ช่วยในการวางแผนประเภทของวัตถุดิบที่ต้องการในกระบวนการผลิต ที่เรียกว่า การวางแผนความต้องการด้านวัตถุดิบ (Material Requirements Planning - MRP) และการผสมผสาน MRP เข้ากับตารางการผลิต (Production Scheduling) และการจัดการด้านคนงาน (Shop Floor Operations) ซึ่งรู้จักกันในชื่อ การวางแผนทรัพยากรด้านการผลิต (Manufacturing Resource Planning)
คอมพิวเตอร์ช่วยงานด้านการผลิต (Computer-aided Manufacturing-CAM) เป็นระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยในขั้นตอนการผลิต ระบบนี้สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยการตรวจตราและควบคุมกระบวนการผลิตในโรงงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ช่วยบริหารงานด้านการผลิต (Manufacturing Execution Systems - MES) หรือการควบคุมทางกายภาพโดยตรง ( การควบคุมการดำเนินงาน) เครื่องจักร ( ควบคุมเครื่องจักร) เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพการทำงานเหมือนคน ( หุ่นยนต์)
ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยบริหารงานด้านการผลิต ทำหน้าที่ในการดูแลระบบสารสนเทศสำหรับการบริหารงานในการผลิต ระบบนี้ทำการตรวจตรา ติดตาม และควบคุม 5 องค์ประกอบที่สำคัญในกระบวนการผลิตอันได้แก่ วัตถุดิบ เครื่องมือ บุคลากร การดำเนินงานตามขั้นตอนที่วางไว้ และ การกำหนดคุณลักษณะให้ตรงกับที่ต้องการ รวมทั้ง อำนวยความสะดวกในการผลิต MES ยังรวมไปถึงตารางการทำงานของคนงานและการควบคุม การควบคุมเครื่องจักร การควบคุมหุ่นยนต์ และ ระบบการควบคุมกระบวนการทำงาน ระบบการผลิตแบบนี้จะทำการตรวจตรา รายงาน และจัดระเบียบให้กับสถานภาพและการดำเนินงานขององค์ประกอบต่างๆในการผลิต เพื่อช่วยให้บริษัทได้รับกระบวนการผลิตที่มีความยืดหยุ่นและคุณภาพสูง
ผลตอบแทนที่ได้รับจากระบบคอมพิวเตอร์ในการผลิตแบบบูรณาการ (Computer-integrated Manufacturing System) สามารถให้ผลตอบแทนในการผลิตของบริษัทดังนี้ ข้อแรก ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการผลิตซึ่งทำให้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงตรงกับความเปลี่ยนแปลงทางการตลาดและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ CIM ยังได้รับผลที่ดีจากระบบการทำงานที่ความสะดวกและเป็นระบบอัตโนมัติ การวางแผนตารางการผลิตที่ดีกว่า และ เกิดความสมดุลของปริมาณการผลิตกับประสิทธิภาพในการผลิต สิ่งเหล่านี้ได้ปรับปรุงการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในการผลิตและเพิ่มผลผลิตมากกว่าเดิม และการควบคุมคุณภาพที่ดีกว่ามาจากการตรวจตรา ผลสะท้อนกลับ และการควบคุมการดำเนินการของโรงงาน เครื่องจักร และหุ่นยนต์ให้เป็นเป็นประโยชน์ นอกจากนี้ ผลลัพธ์อีกประการของ CIM คือ การลดต้นทุนในการผลิตสินค้าคงคลังและความคล่องตัวผ่านการทำงานที่ง่ายขึ้น นโยบายสินค้าคงคลังแบบทันเวลา (Just-in-time) และการวางแผนที่ดีกว่าและการควบคุมการผลิต และทำให้สินค้าเสร็จตามต้องการ ท้ายสุด ความพอใจของลูกค้าได้ถูกปรับปรุงด้วยการผลิตอย่างรวดเร็วตามที่ลูกค้าสั่ง ลดสถานการณ์สินค้าขาดได้อย่างเห็นผล และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงตรงความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น
เครือข่ายความร่วมมือในการผลิต (Collaborative Manufacturing Network)
กระบวนการผลิตเหมือนกับคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยงานวิศวกรรมและการออกแบบ การควบคุมการผลิต ตารางการผลิต และการบริหารด้านการจัดหาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการความร่วมมือ การเพิ่มในเรื่องการใช้ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต และเครือข่ายอื่นๆเพื่อเชื่อมโยงกับสถานีงาน (Workstation) ของวิศวกร และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ กับเพื่อนร่วมงานในสาขาอื่นๆ เครือข่ายความร่วมมือในการผลิตนี้อาจเชื่อมโยงพนักงานในบริษัท รวมทั้งตัวแทนจากบริษัทผู้จัดหาสินค้าหรือลูกค้าไม่ว่าจะอยู่ในที่แห่งใดก็ตาม
การควบคุมการดำเนินงาน (Process Control)
การควบคุมการดำเนินงานเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อควบคุมการทำงานที่เห็นได้ทางกายภาพกระบวนการควบคุมการทำงานในเชิงกายภาพในการกลั่นน้ำมัน การผลิตซีเมนต์ การถลุงเหล็กกล้า การผลิตสารเคมี การผลิตอาหารจากโรงงาน การผลิตกระดาษ การผลิตกระแสไฟฟ้า และอื่นๆ โดยใช้อุปกรณ์ในการตรวจจับ (Sensing) เพื่อวัดคุณลักษณะทางกายภาพ เช่น อุณหภูมิ หรือการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน ข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือวัดทางกายภาพนี้จะถูกแปลงไปเป็นรูปแบบดิจิตอล ด้วยเครื่องแปลงสัญญาณอนาลอก- ดิจิตอล และถ่ายทอดสัญญาณนี้ไปสู่คอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผล
ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมการดำเนินงานใช้รูปแบบทางคณิตศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่และเปรียบเทียบกับมาตรฐาน หรือคาดการณ์ผลลัพธ์ที่ต้องการ จากนั้นคอมพิวเตอร์จะสั่งการควบคุมกระบวนการโดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุม เช่น เทอร์โมสเตต (Thermostats) วาล์ว (Valves) สวิตช์ Switches) หรืออื่นๆ ระบบควบคุมการดำเนินงานนี้สามารถส่งข้อความหรือแสดงหน้าจอในการทำงาน ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมสามารถใช้มาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมการทำงาน และยังสามารถจัดทำรายงานเพื่อวิเคราะห์ผลการปฏิบัติงานในการบวนการผลิตตามที่ต้องการอย่างสม่ำเสมอ
การควบคุมเครื่องจักรกล (Machine Control)
การควบคุมเครื่องจักรกลเป็นการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการควบคุมการทำงานของเครื่องจักรกล ที่รู้จักกันดีในนาม Numerical Control โดยแปลงข้อมูลทางเรขาคณิตจากการวาดภาพทางวิศวกรรมและขั้นตอนการทำงานจากการวางแผนการดำเนินงานไปสู่รหัสตัวเลขของชุดคำสั่งซึ่งควบคุมการทำงานของเครื่องจักร การควบคุมเครื่องจักรกลนี้ อาจรวมไปถึงการใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ เพื่อวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงที่เรียกว่า การควบคุมตรรกะคำสั่งในการทำงาน (Programmable Logic Controllers : PLCs) ช่วยวิศวกรปรับระดับการทำงานอย่างละเอียดของเครื่องมือเครื่องจักรกล
หุ่นยนต์ (Robotics)
การพัฒนาที่สำคัญในเรื่องการควบคุมเครื่องจักรและคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในอุตสาหกรรม คือ การสร้างสรรค์เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงและหุ่นยนต์ อุปกรณ์ที่ใช้ควบคุมการทำงานของสิ่งเหล่านี้ คือไมโครคอมพิวเตอร์ การศึกษาและระบบงานที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์นี้เป็นเทคโนโลยีของการสร้างและการใช้เครื่องจักร บวกกับ ความฉลาดของคอมพิวเตอร์ เพื่อควบคุมให้มีความสามารถทางกายภาพเหมือนมนุษย์ทั่วไป ( สมรรถภาพของการใช้มือ การเคลื่อนไหว การมองเห็น) ซึ่งกลายเป็นประเด็นหลักในการวิจัยและพัฒนาในสาขาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI)
หุ่นยนต์ถูกใช้ในฐานะ " คนงานปกเสื้อเหล็ก” (Steel-collar Workers) ได้เพิ่มการผลิตและลดค่าใช้จ่ายเป็นอย่างมาก เช่น หุ่นยนต์อาจคุมวาล์วความดันที่อัตรา 320 หน่วยต่อชั่วโมง ซึ่งเป็น 10 เท่าของแรงงานคน หุ่นยนต์ยังเป็นประโยชน์มากในด้านสิ่งที่เป็นพิษหรือของเสีย หุ่นยนต์ทำตามโปรแกรมที่กำหนดโดยแม่ข่ายและโหลดข้อมูลนั้นสู่ไมโครคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ การนำข้อมูลเข้านั้นได้จากการมองและหรือการสัมผัสตัวจับสัญญาณ (Sensor) เพื่อประมวลผลโดยไมโครคอมพิวเตอร์และแปลงเป็นการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ โดยทั่วไปมักจะเป็นการเคลื่อนไหวแขนและมือของหุ่นยนต์เพื่อจับขึ้น หรือยกของ หรือทำหน้าที่อื่นๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง เช่น การวาดรูป การขุดเจาะ และการเชื่อมโลหะ จากการพัฒนาด้านการศึกษาและระบบงานที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ได้รับการคาดการณ์ไว้ว่าจะทำให้เกิดหุ่นยนต์ที่มี ความฉลาด ยืดหยุ่น และเคลื่อนไหวได้มากขึ้น โดยการปรับปรุงความสามารถในการคำนวณ การมองเห็น การสัมผัส และการกำหนดทิศทาง


รูปที่ 10. 16 การใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมแขนและมือของหุ่นยนต์เพื่อช่วยในการประกอบแผงวงจร (Circuit Board) ที่ Bell Laboratories


คอมพิวเตอร์ช่วยงานด้านวิศวกรรม (Computer-Aided Engineering - CAE)
วิศวกรด้านการผลิตใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยงานด้านวิศวกรรม CAE สร้างแบบจำลองเพื่อการทดสอบ การวิเคราะห์ และการประเมินต้นแบบของการออกแบบผลิตภัณฑ์ซึ่งพวกเขาได้พัฒนาขึ้น โดยการใช้วิธีการด้านคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการออกแบบ (Computer Aided Design - CAD) ช่วยวิเคราะห์และออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมถึงกระบวนการผลิตในโรงงาน และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น CAD Package ช่วยในงานวาดภาพของวิศวกรและช่วยให้เกิดภาพกราฟิก 3 มิติซึ่งสามารถทำให้หมุนไปรอบๆ เพื่อที่จะมองวัตถุได้ทั้ง 3 ด้าน สามารถมองในระยะใกล้ เพื่อมองส่วนประกอบเฉพาะส่วนและสามารถแสดงการเคลื่อนไหวเหมือนกับการทำงานกับของจริง การออกแบบนี้สามารถแปลงไปสู่แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของผลงานที่ได้ทำสำเร็จแล้ว
ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Information Systems: HRIS)
การจัดการด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) เกี่ยวข้องกับการจัดหา การทดสอบ การประเมินผล การจ่ายเงินค่าตอบแทน และการพัฒนาลูกจ้างขององค์กร เป้าหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือการใช้ทรัพยากรบุคคลของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลที่สุด ดังนั้นระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรมนุษย์จึงได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุน 1) การวางแผนความต้องการด้านบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของบริษัท 2) พัฒนาพนักงานเพื่อให้เกิดศักยภาพสูงสุด 3) ควบคุมนโยบายและโปรแกรมด้านบุคคล


รูปที่ 10. 18 ระบบสารสนเทศทรัพยากรมนุษย์ได้สนับสนุนการใช้กลยุทธ์ เทคนิค และการดำเนินการด้านทรัพยากรมนุษย์ของบริษัท

ในยุคเริ่มต้นองค์กรธุรกิจใช้ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นพื้นฐานในการ 1) ผลิตรายงานการจ่ายเงินค่าจ้างด้วยเช็คและการจ่ายเงินเดือน 2) ดูแลระเบียนของพนักงานแต่ละคน และ 3) วิเคราะห์การใช้บุคลากรในการดำเนินงานด้านธุรกิจ
หลายหน่วยงานได้ก้าวไปไกลกว่าการใช้งานการบริหารงานบุคคลในแบบเดิมนี้ และได้พัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรมนุษย์ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนในด้าน 1) การจัดหา การคัดเลือกและการจ้างบุคลากร 2) การมอบหมายงาน 3) การประเมินผลการปฏิบัติงาน 4) การวิเคราะห์ผลประโยชน์ของลูกจ้าง 5) การฝึกอบรมและการพัฒนา และ 6) สุขภาพ ความปลอดภัย และความมั่นคง ดูรูปที่ 10.18
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และ อินเทอร์เน็ต (HRM and Internet)
อินเทอร์เน็ตได้กลายมาเป็นส่วนผลักดันที่สำคัญของความเปลี่ยนแปลงในด้านการบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ เช่น ระบบออนไลน์ของ HRM ได้เกี่ยวข้องกับการจัดหาลูกจ้างผ่านเว็บไซท์ของแผนกจัดหาลูกจ้างของบริษัท ใช้บริการและฐานข้อมูลของบริษัทจัดหางานบนเว็บ การประกาศ ( รับสมัครงาน) ผ่านกลุ่มข่าวบนอินเทอร์เน็ต (Newsgroup) และสื่อสารกับผู้สมัครงานผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และอินทราเน็ต (HRM and Intranet)
เทคโนโลยีอินทราเน็ตทำให้บริษัทสามารถทำระบบงานพื้นฐานเกือบทั้งหมดของงานด้าน HRM ได้บนอินทราเน็ตขององค์กร เพื่อการเสนอบริการไปสู่พนักงาน ซึ่งสามารถแพร่กระจายสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ได้รวดเร็วกว่าช่องทาง ( การสื่อสาร) อื่นๆของบริษัทในอดีตและสามารถรวบรวมสารสนเทศออนไลน์จากพนักงานเพื่อนำเข้าสู่แฟ้มข้อมูลของ HRM
ตัวอย่างเช่น ระบบงานบนอินทราเน็ตในเรื่องการให้บริการตัวเองของลูกจ้าง (Employee Self-service - ESS) จะช่วยให้พนักงานได้เห็นรายงานด้านผลประโยชน์และค่าใช้จ่าย ข้อมูลด้านการจ้างงานและเงินเดือน สามารถเข้าถึงและปรับปรุงสารสนเทศส่วนบุคคลให้เป็นปัจจุบัน พนักงานสามารถใช้เว็บบราวเซอร์ เพื่อค้นหาสารสนเทศออนไลน์ในเรื่องค่าตอบแทนส่วนบุคคล และผลประโยชน์ด้านสุขภาพ ฯลฯ
ประโยชน์อีกประการหนึ่งของอินทราเน็ต คือ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการฝึกอบรมที่เก่งกว่า พนักงานสามารถรับทราบขั้นตอนในการทำงานและกระบวนการเพื่อให้ได้สารสนเทศหรือความรู้ที่ต้องการได้ง่าย
จำนวนบุคลากรขององค์กร (Staffing the Organization)
การทำงานของบุคลากรต้องได้รับการสนับสนุนจากระบบสารสนเทศ ซึ่งจะบันทึกและติดตามทรัพยากรบุคคลในบริษัทเพื่อทำให้เกิดการใช้งานสูงสุด เช่น ระบบการบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล เก็บข้อมูลจากการติดตามเพิ่มเติม ลบทิ้ง และเปลี่ยนแปลงระเบียนของพนักงานในฐานข้อมูลบุคลากร ความเปลี่ยนแปลงจากการมอบหมายงานและค่าตอบแทน หรือการจ้างและการเลิกจ้าง ล้วนแต่เป็นตัวอย่างของสารสนเทศที่จะถูกใช้เพื่อปรับปรุงฐานข้อมูลบุคลากรให้เป็นปัจจุบัน อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่ ระบบการตรวจสอบทักษะของพนักงานซึ่งใช้ข้อมูลด้านทักษะของพนักงานจากฐานข้อมูลบุคลากรเพื่อวางตำแหน่งพนักงานภายในบริษัท ซึ่งมีทักษะที่ต้องการสำหรับงานและโครงการเฉพาะทาง
ตัวอย่างสุดท้ายเกี่ยวข้องกับการคาดการณ์ด้านความต้องการบุคลากร ซึ่งบริษัทต้องได้รับการตอบสนองอย่างสมดุลในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพสูง ระบบงานนี้ช่วยให้การคาดการณ์ด้านความต้องการบุคลากรในแต่ละประเภทของงาน สำหรับแผนกของบริษัทที่มีหลากหลายหรือโครงการใหม่ๆ หรือ ความเสี่ยงอื่นๆ การวางแผนระยะยาวเช่นนี้ใช้รูปแบบจำลองของระบบคอมพิวเตอร์เพื่อประเมินแผนการอื่นๆ สำหรับแผนการในการจัดหา การมอบหมายงานใหม่และการฝึกอบรมใหม่
การพัฒนาและฝึกอบรม (Training and Development)
ระบบสารสนเทศช่วยให้ผู้จัดการด้านทรัพยากรมนุษย์วางแผนและดูแลการจัดหา การฝึกอบรม และโครงการพัฒนาพนักงานโดยการวิเคราะห์ความสำเร็จ จากการวางแผนในอดีตของโครงการในปัจจุบัน พวกเขายังวิเคราะห์สถานภาพการพัฒนาด้านอาชีพจากพนักงานเพื่อหาข้อสรุปว่าวิธีการพัฒนาเช่นโปรแกรมการฝึกอบรมและการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอนั้นเป็นอย่างไร โปรแกรมการฝึกอบรมด้วยการใช้มัลติมีเดียบนพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ และการประเมินผลการทำงานของลูกจ้างสามารถช่วยในเรื่องการจัดการทรัพยากรมนุษย์ได้
การวิเคราะห์ค่าตอบแทน (Compensation Analysis)
ระบบสารสนเทศเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ขอบเขตและการกระจายของค่าตอบแทนของพนักงาน ค่าแรง เงินเดือน รายจ่ายพิเศษ และค่าตอบแทนอื่นๆ นอกเหนือจากเงินเดือน ภายในองค์กร เปรียบเทียบกับค่าตอบแทนที่จ่ายในองค์กรที่ทำงานคล้ายๆกัน หรือปัจจัยด้านเศรษฐศาสตร์ ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์กับการวางแผนเปลี่ยนแปลงในเรื่องค่าตอบแทน การต่อรองกับสหภาพแรงงาน ค่าใช้จ่ายของบริษัทคู่แข่ง และความสมเหตุสมผลของค่าตอบแทน
การรายงานต่อรัฐบาล (Governmental Reporting)
ในทุกวันนี้ ต้องมีการรายงานไปยังหน่วยงานของรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบหลักในเรื่องการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้น องค์กรเหล่านี้ใช้ระบบสารสนเทศเพื่อเก็บการติดตามด้านสถิติและการจัดทำรายงาน


รูปที่ 10. 23 ระบบสารสนเทศด้านบัญชีที่สำคัญสำหรับรายการเปลี่ยนแปลงด้านการประมวลผลและการรายงานด้านการเงิน โดยระบบเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันในเรื่องการไหลเวียนของข้อมูลรับเข้าและผลลัพธ์

อ้างอิง ::http://www.no-poor.com/misandflash/mis_ch10.htm
นางสาวอนุสรา สีกา
49043494345
sec.01
วิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ระบบสารสนเทศการผลิต (Manufacturing Information Systems)

ระบบสารสนเทศการผลิต (Manufacturing Information Systems)


ระบบสารสนเทศการผลิตช่วยสนับสนุนงานในด้านการผลิตและการดำเนินงาน รวมไปถึงงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการวางแผนและการควบคุมขั้นตอนของการผลิตสินค้าและบริการ ดังนั้นหน้าที่ในการผลิตและการดำเนินงานจึงเกี่ยวข้องกับการจัดการของระบบและกระบวนการผลิต ระบบสารสนเทศใช้เพื่อการจัดการด้านการดำเนินงานและการติดต่อดำเนินงานเพื่อสนับสนุนหน่วยงาน ซึ่งจะต้องมีการวางแผน และควบคุมสินค้าคงคลัง การจัดซื้อ และการไหลเวียนของสินค้าและบริการ


คอมพิวเตอร์ช่วยการผลิตแบบบูรณาการ (Computer-integrated Manufacturing : CIM)

ระบบสารสนเทศด้านการผลิตที่มีความหลากหลาย ได้ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตแบบบูรณาการ เพื่อสนับสนุน ดังรูปที่ 10.12 ซึ่งเป็นแนวคิดในภาพรวมที่เน้นในเรื่องระบบคอมพิวเตอร์ในการผลิต จะต้องมีเป้าหมายดังนี้

- ความง่าย ( Simplify) ในการรื้อปรับระบบ (Reengineering) ทำให้กระบวนการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ และโครงสร้างของโรงงานเป็นพื้นฐานที่สำคัญของระบบอัตโนมัติและบูรณาการ ให้มีใช้งานได้ง่ายขึ้น
- อัตโนมัติ (Automate) ทำให้เป็นอัตโนมัติด้วยการสนับสนุนด้วยคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และหุ่นยนต์ ช่วยในงานด้านกระบวนการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ และงานด้านธุรกิจ
บูรณาการ (Integrated) การใช้คอมพิวเตอร์ เครือข่ายโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ ช่วยในงานด้านการผลิตและกระบวนการสนับสนุนการผลิต
บูรณาการ (Integrated) การใช้คอมพิวเตอร์ เครือข่ายโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ ช่วยในงานด้านการผลิตและกระบวนการสนับสนุนการผลิต